อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ
เป็นโบราณสถานสำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดเพชรบูรณ์
อุทยานมีพื้นที่ครอบคลุมโบราณสถานในเมืองเก่าศรีเทพ
ศรีเทพเป็นเมืองโบราณที่อยู่ในท้องที่อำเภอศรีเทพ เดิมมีชื่อว่า
"เมืองอภัยสาลี" ถูกค้นพบเมื่อสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จไปตรวจราชการมณฑลเพชรบูรณ์
และได้ทรงเรียกเมืองนี้เสียใหม่ว่า "เมืองศรีเทพ" เมื่อปี พ.ศ. 2447-2448
เมืองโบราณศรีเทพนี้มีลักษณะเป็นเมืองซ้อนเมืองขนาดใหญ่
ที่ตั้งของเมืองอยู่ในชุมทาง ที่สามารถติดต่อกับภาคอื่น ๆ ได้สะดวก ดังนั้นจึงได้รับอิทธิพลทางศิลปวัฒนธรรมจากอาณาจักรข้างเคียง
มาผสมผสาน เช่น ศิลปะทวารวดี ศิลปะขอม เป็นต้น
เมืองศรีเทพสร้างขึ้นในยุคของขอมเรืองอำนาจ ซึ่งคาดว่ามีอายุไม่ต่ำกว่า 1,000 ปี
โดยดูจากหลักฐานทางสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม และวัฒนธรรมที่ตกทอดมาถึงปัจจุบัน
ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีความเจริญสูงสุดทางด้านสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม
สันนิษฐานว่าเจริญอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 11
ถึงพุทธศตวรรษที่ 16
อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพได้รับรางวัล Thailand
Tourism Award ประจำปี 25432 รางวัลคือ
รางวัลประเภทแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมโบราณสถานยอดเยี่ยมและรางวัลสื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ด้านอินเทอร์เน็ตดีเด่น
สถานที่ตั้ง
เมืองศรีเทพอยู่ห่างจากตัวเมืองเพชรบูรณ์ประมาณ
107 กิโลเมตร ห่างจากอำเภอวิเชียรบุรีประมาณ 25
กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณสองพันไร่เศษ
มีกำแพงเมืองที่ก่อด้วยดินล้อมรอบ และมีคูเมืองนอกกำแพง มีประตูเมืองทั้งสี่ทิศ
ภายในเมืองมีปรางค์สมัยลพบุรีอยู่สององค์ เรียกว่า ปรางค์องค์พี่และปรางค์องค์น้อง
ทางทิศเหนือนอกกำแพงเมืองออกไปมีสระน้ำสองแห่ง ชื่อสระแก้วและสระขวัญ
ในสมัยก่อนเมืองศรีเทพต้องส่งส่วยน้ำจากสระทั้งสองนี้
เพื่อนำไปใช้ทำน้ำพิพัฒยสัตยา เพราะถือว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์
การสำรวจทางโบราณคดี
กรมศิลปากรได้ดำเนินการ สำรวจ ขุดค้น ศึกษา
และพัฒนาบรรดาโบราณสถานและโบราณวัตถุในเมืองศรีเทพตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 โดยทำการการบูรณะ
และบำรุงรักษาสิ่งก่อสร้างให้มั่นคงถาวร
โบราณสถานและสถานที่สำคัญ
ศาลเจ้าพ่อศรีเทพ
อยู่ห่างจากประตูทางเข้าเล็กน้อยทางด้านขวามือ
ศาลเจ้าพ่อศรีเทพไม่ใช่โบราณสถาน แต่เป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้านทั่วไป
โดยทุกปีจะมีงานบวงสรวง ในราวเดือนกุมภาพันธ์ (ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3)
ปรางค์ศรีเทพ
เป็นสถาปัตยกรรมแบบศิลปะเขมรหันหน้าไปทางทิศตะวันตก
ลักษณะของปรางค์สร้างด้วยอิฐและศิลาแลง ฐานล่างก่อด้วยศิลาแลงเป็นฐานบัวลูกฟัก
แบบเดียวกับสถาปัตยกรรมเขมรทั่ว ๆ ไป เรือนธาตุก่อด้วยอิฐ
ในการขุดค้นบริเวณนี้พบชิ้นส่วนทับหลังรูปลายสลักราวพุทธศตวรรษที่ 16-17
ซึ่งน่าจะเป็นการสร้างเพิ่มหลังจากโบราณสถานเขาคลังใน ต่อมาประมาณพุทธศตวรรษที่ 18
มีการพยายามจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใหม่แต่ไม่สำเร็จ โดยได้พบชิ้นส่วนทิ้งกระจัดกระจาย
สระแก้วสระขวัญ
สระแก้วจะอยู่นอกเมืองไปทิศเหนือ
ส่วนสระขวัญจะอยู่ในบริเวณเมืองส่วนนอก สระน้ำทั้งสองสระนี้มีน้ำขังตลอดปี
และเชื่อกันว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ มีการนำน้ำทั้งสองสระนี้ไปทำน้ำพิพัฒน์สัตยา
ตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบัน
โบราณสถานเขาคลังใน
เชื่อกันว่าเป็นที่เก็บหำวุธและทรัพย์สมบัติต่าง
ๆ จึงเรียกว่า "เขาคลัง" การก่อสร้างประมาณพุทธศตวรรษที่ 12-13
ผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหันหน้าไปทางทิศตะวันออก
ใช้ศิลาแลงเป็นวัสดุหลักในการก่อสร้าง ที่ฐานมีรูปปูนปั้นบุคคล
และสัตว์ประดับเป็นศิลปะแบบทวารวดีมีลักษณะศิลปะแบบเดียวกับที่พบที่เมืองคูบัว
โบราณสถานบ้านโคกไม้เดน จังหวัดนครสวรรค์ และวัดนครโกษา จังหวัดลพบุรี
จะเห็นว่าเขาคลังในตั้งอยู่เกือบกลางเมือง
ลักษณะทางผังเมืองจะคล้ายกับเมืองทวารวดีอื่น ๆ เช่น เมืองนครปฐมโบราณ
เมืองคูบัวที่ราชบุรี และจากรายละเอียดปูนปั้นบุคคลหรือลวดลาย
แบบเดียวกับที่พบที่เมืองคูคล้าย
ปรางค์สองพี่น้อง
ลักษณะเป็นปรางค์ 2
องค์ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงขนาดใหญ่
หันหน้าไปทางทิศตะวันตกเช่นเดียวกับปรางค์ศรีเทพ
มีประตูทางเข้าทางเดียวและจากการขุดแต่งทางโบราณคดี
พบทับหลังที่มีจำหลักเป็นรูปพระอิศวรอุ้มนางปารพตี ประทับนั่งอยู่เหนือโคอศุภราช
ซึ่งลักษณะของทับหลังและเสาประดับกรอบประตูเป็นสิ่งกำหนดอายุของปรางค์
ซึ่งอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 16-17
เป็นศิลปะขอมแบบบาปวนต่อนครวัด และได้มีการสร้างปรางค์องค์เล็กเพิ่ม
โดยพบร่องรอยการสร้างทับกำแพงแก้วที่ล้อมรอบปรางค์องค์ใหญ่
ซึ่งอยู่ใต้ปรางค์องค์เล็ก และยังมีการก่อปิดทางขึ้นโดยเสริมทางด้านหน้าให้ยื่นออกมา
และก่อสร้างอาคารขนาดเล็กทางทิศเหนือเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ระหว่างองค์ปรางค์ทั้งสองแห่งคือปรางค์สองพี่น้อง
และปรางค์ศรีเทพจะมีกำแพงล้อมรอบ
และมีอาคารปะรำพิธีขนาดเล็กกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป แสดงให้เห็นถึงลักษณะการวางผัง
ในรูปของศาสนสถานศิลปะเขมรแบบเดียวกับที่พบในภาคอีสานของประเทศไทย
อาคารหลุมขุดค้นทางโบราณคดี
จัดแสดงโครงกระดูกมนุษย์และโครงกระดูกช้างที่ได้ขุดค้นทางโบราณคดีเมื่อปี
พ.ศ. 2531
โบราณสถานอื่นๆ
นอกจากโบราณสถานหลักแล้วยังมีโบราณสถานย่อย ๆ
กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป เช่น ทิศใต้ของเขาคลังใน พบโบสถ์ก่อด้วยศิลาแลง
พบใบเสมาหินบริเวณใกล้หลุมขุดค้น และพบโบราณสถานรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสสมัยทวารวดี
ซึ่งได้มีการก่อสร้างทับในระยะที่รับเอาศาสนาพราหมณ์เข้ามา
จึงเห็นได้ว่าบริเวณเมืองชั้นในเดิมน่าจะเป็นเมืองแบบทวารวดีและมีการสร้างสถาปัตยกรรมเขมรในระยะหลังเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ทางทิศใต้ยังพบอาคารมณฑปแบบทวารวดีขนาดใหญ่
และมีการพยายามเปลี่ยนแปลงให้เป็นเทวาลัยประมาณต้นศตวรรษที่ 18 แต่ไม่สำเร็จ
เช่นเดียวกับปรางค์ศรีเทพ
การค้นพบเขาคลังนอก
“เขาคลังนอก” ไขปริศนาพันปี
มหาสถูปเจดีย์แห่งเมืองศรีเทพ
เมืองศรีเทพ เมือง “ฝาแฝด”
กับเมือง “ลพบุรี” หรือ
“ละโว้ – ลวปุระ”
ในลุ่มน้ำลพบุรี (และอีกหลายเมือง
ที่มีปรากฏการณ์วัฒนธรรมขอมไปซ้อนทับบนชุมชนทวารวดีดั่งเดิมกลายเป็นเมืองคู่)
ทั้งสองเมืองมีรูปแบบการวางผังเมืองเหมือนกัน มีแม่น้ำทางทิศตะวันตก เหมือนกัน
มีการขยายเมืองออกไปทางตะวันออกเหมือนกัน และมีเส้นทางการติดต่อของ “ถนน”
โบราณเชื่อมโยงถึงกัน สองนครนี้ คือมหานครคู่แฝดแห่ง “อาณาจักรลึกลับ”
อาณาจักรที่ถูกลืมเพราะ “อคติ” ในชนชาติ
ก่อนการค้นพบ
ชาวบ้าน
(เชื้อสายลาว – อีสาน ย้ายเข้ามาใหม่ในช่วงต้นรัตนโกสินทร์)
รู้จัก “เขาคลังนอก” กันมานาน เพราะดูสัณฐานเป็น “ภูเขาใหญ่” ที่มีต้นไม้ขึ้นหนาทึบ
มีเศษอิฐและศิลาแลงกระจัดกระจายหนาแน่นอยู่ทั่วทั้งบริเวณ
เนินเขาลูกนี้ตั้งอยู่ห่างออกไปทางทิศเหนือของเมืองศรีเทพประมาณ 2 กิโลเมตร ใครผ่านไปมาก็แลเห็นได้ง่าย เขา “คลังใน
- คลังนอก” แต่เดิมชาวบ้านจะเรียกว่า
“เขานอก – เขาใน”
แต่เจ้าหน้าราชการหัวเมือง คิดจินตนาการว่าเป็นที่ “เก็บทรัพย์สมบัติ”
ก็เลยไปตั้งชื่อใหม่ให้ชาวบ้านเรียกตาม ว่า “เขาคลังนอก”
เมืองศรีเทพ เป็นเขต “ขุมทรัพย์”
โบราณ ด้วยรอบ ๆ เมือง เป็นแหล่งฝังศพของชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ในยุค
2,500 – 2,000 ปี จำนวนไม่น้อยกว่า 30 ชุมชน
ในหลุมศพก็มี “ลูกปัด” ทั้งหิน
แก้ว โมเสค และเครื่องพลีกรรมหม้อ ไห กำไล ให้ไว้ไปใช้ในโลกหน้า แต่เมื่อมีลูกปัด
ก็มีการลักลอบขุด รอบเมืองศรีเทพจึงกลายเป็น “สวรรค์”
ของนักค้าวัตถุโบราณมานานแล้ว
การเดินทาง
การเดินทาง
เมืองศรีเทพอยู่ห่างจากตัวเมืองเพชรบูรณ์ประมาณ 130
กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 21 (เฉลิมพระเกียรติ-หล่มสัก)
ถึงหลักกิโลเมตรที่ 102 แล้วแยกเข้าทางหลวงหมายเลข 2211
ไปอีกประมาณ 9 กิโลเมตรจะเห็นป้ายบอกทางเข้าอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพอยู่ด้านขวามือ
อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.00–16.30 น.
โทร. 0-56921-322, 0-56921-354
จากกรุงเทพเมื่อมาถึงสามแยกพุแคให้เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข
21 (เฉลิมพระเกียรติ-หล่มสัก) ถึงหลักกิโลเมตรที่ 102
แล้วแยกเข้าทางหลวงหมายเลข 2211 ไปอีกประมาณ
9 กิโลเมตรจะเห็นป้ายบอกทางเข้าอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพอยู่ด้านขวามือ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
วรณัย
เรื่องราวทางมานุษยวิทยา ประวัติศาสตร์ โบราณคดี สหวิทยาการและมุม Gossip
Permalink : http://www.oknation.net/blog/voranai