วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

สาระน่ารู้...การเขียนรายงานที่ดี

                                          การเขียนรายงาน

การเขียนรายงานทางวิชาการ  เป็นเรื่องสำคัญยิ่งสำหรับการเรียน ในระดับอุดมศึกษา  ทั้งนี้เนื่องจากการศึกษาในระดับนี้จะเน้นให้ผู้เรียนรู้จักศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง สามารถแสวงหาความรู้  ฝึกฝนการวิเคราะห์และสังเคราะห์ความรู้  รวมทั้งสามารถนำเสนอผลการศึกษาเรียนรู้ของตนเองได้   นักศึกษาจะเขียนรายงานทางวิชาการได้อย่างไร  รายงานลักษณะใดที่จัดว่าเป็นรายงานที่ดี    มีระเบียบวิธีการอะไรบ้างที่จะต้องเรียนรู้ก่อนทำรายงาน  ในบทความนี้จะให้คำตอบที่เป็นหลักปฏิบัติของคำถามเหล่านั้น   เพื่อให้นักศึกษาได้นำไปใช้เป็นแนวทางเบื้องต้นในการเขียนรายงาน 

ลักษณะของรายงานที่ดี
          รายงานที่ดีควรมีลักษณะที่สำคัญดังต่อไปนี้ 
      1. รูปเล่ม  ประกอบด้วยหน้าสำคัญต่าง ๆ ครบถ้วน  การพิมพ์ประณีตสวยงาม  การจัดย่อหน้าข้อความเป็นแนวตรงกัน    ใช้ตัวอักษรรูปแบบ (Font) เดียวกันทั้งเล่ม  จัดตำแหน่งข้อความและรูปภาพได้สอดคล้องสัมพันธ์ และอ่านง่าย
         2. เนื้อหา  เป็นการนำเสนอผลการศึกษาค้นคว้าที่น่าสนใจของผู้เขียน    แสดงถึงข้อเท็จจริงอย่างถูกต้อง  เป็นปัจจุบันทันสมัย   ครอบคลุมเรื่องได้อย่างสมบูรณ์  แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งของผู้เขียน   นอกจากแสดงความรู้ในข้อเท็จจริงแล้ว ผู้เขียนควรแสดงถึงความคิดสร้างสรรค์  นำเสนอความรู้หรือประสบการณ์ใหม่ๆ ทรรศนะใหม่ ๆ    หรือแนวทางแก้ปัญหาในเรื่องที่กําลังศึกษาอยู่     ด้วยการเรียบเรียงเนื้อหาเป็นไปตามลำดับไม่ซ้ำซากวกวน    แสดงให้เห็นความสามารถในการกลั่นกรอง  สรุปความรู้และความคิดที่ได้จากแหล่งต่าง ๆ
        3. สำนวนภาษา  เป็นภาษาที่นิยมโดยทั่วไป   สละสลวย  ชัดเจน  มีการเว้นวรรคตอน สะกดการันต์ถูกต้อง  ลำดับความได้ต่อเนื่อง  และสัมพันธ์กันตลอดเรื่อง 
     4.การอ้างอิงและบรรณานุกรมถูกต้องตามแบบแผน   มีการแสดงหลักฐานที่มาของข้อมูลอย่างถูกต้องละเอียดถี่ถ้วน  เมื่อกล่าวถึงเรื่องใดก็มีหลักฐานอ้างอิงเพียงพอและสมเหตุสมผล     เลือกใช้ข้อมูลจากแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้   ซึ่งการแสดงหลักฐานอ้างอิงและบรรณานุกรมจะบ่งบอกถึงคุณภาพทางวิชาการของรายงานนั้น 

ข้อควรคำนึงในการทำรายงาน
วัตถุประสงค์ของอาจารย์ผู้สอนที่กำหนดให้นักศึกษาทำรายงาน  ก็เพื่อให้รู้จักการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง   ซึ่งการเรียนรู้ด้วยตนเองจะทำให้ผู้เรียนสามารถติดตามความรู้ได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าทางวิชาการ  ช่วยให้จดจำเรื่องราวที่ตนศึกษาได้อย่างแม่นยำและยาวนาน   เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว  อาจารย์ผู้สอนจึงมักจะพิจารณาประเมินคุณค่าของรายงานดังนี้

        1. ต้องไม่ใช่ผลงานที่คัดลอกของผู้อื่น (สำคัญมาก)  
       2. ต้องเป็นผลงานที่แสดงข้อเท็จจริงอย่างถูกต้องครบถ้วน  (คือมีเนื้อหาสาระที่สามารถตอบคำถาม  ใคร  ทำอะไร  ที่ไหน เมื่อไร ได้)  และมีเนื้อหาสาระที่แสดงเหตุผล แสดงความคิดหรือทรรศนะของผู้เขียน ที่เป็นผลจากการได้ศึกษาค้นคว้าเรื่องราวเหล่านั้น   (คือมีเนื้อหาที่ตอบคำถาม  ทำไม- เพราะเหตุใด   ทำอย่างไร) 
         3. ต้องเป็นผลงานที่จัดรูปเล่มอย่างประณีต  อ่านทำความเข้าใจเนื้อหาได้ง่าย    รายงานที่ดีจึงต้องจัดรูปเล่มให้อ่านง่าย  เรียบเรียงเนื้อหาให้เป็นลำดับ  กำหนดหัวข้อเรื่องไม่ซ้ำซ้อนวกวน (ต้องวางโครงเรื่องให้ดี)
       4.ต้องเป็นผลงานที่แสดงถึงจรรยาบรรณของนักวิชาการที่ดี  คือมีการอ้างอิงและทำบรรณานุกรมที่ถูกต้องตามแบบแผน  แสดงหลักฐานที่มาอย่างถูกต้องละเอียดถี่ถ้วน

ขั้นตอนการทำรายงาน
การทำรายงานให้ประสบความสำเร็จ  ควรวางแผนดำเนินการเป็นลำดับขั้นตอน ดังนี้
1. กำหนดเรื่อง
การกำหนดเรื่องที่จะทำรายงาน  ต้องเกิดจากความต้องการอยากรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ควรเป็นเรื่องที่นักศึกษาสนใจ    หรือมีความรู้ในเรื่องนั้นอยู่บ้างแล้ว    ขอบเขตของเรื่องไม่ควรกว้างหรือแคบเกินไป   เพราะถ้ากว้างเกินไปจะทำให้เขียนได้อย่างผิวเผิน หรือถ้าเรื่องแคบเกินไปอาจจะไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะเขียนได้   ในการกำหนดเรื่องควรคิดโครงเรื่องไว้คร่าว ๆ  ว่าจะมีเนื้อหาในหัวข้อใดบ้าง  
2.  สำรวจแหล่งข้อมูล
แหล่งข้อมูลเบื้องต้นควรเริ่มที่ห้องสมุดและอินเทอร์เน็ต  ในการสำรวจควรใช้เครื่องมือที่แหล่งนั้นจัดเตรียมไว้ให้ เช่นห้องสมุดควรใช้  บัตรรายการ  บัตรดัชนีวารสาร  และ โอแพค (OPAC)  เป็นต้น  การค้นทางอินเทอร์เน็ตควรใช้เว็บไซต์ Google, Yahoo  เป็นต้น  นักศึกษาต้องเรียนรู้วิธีใช้เครื่องมือและคำสั่งในการสืบค้นให้เข้าใจดีเสียก่อน  จึงจะช่วยให้ค้นคว้าได้รวดเร็วและได้เนื้อหาสาระที่ครบถ้วน     เมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการแล้วจะต้องจัดเก็บรวบรวมให้เป็นระบบ  เป็นหมวดหมู่    เอกสารที่รวบรวมได้ทุกรายการต้องเขียนบรรณานุกรมบอกแหล่งที่มาไว้ด้วย  เพื่อใช้ค้นคืนไปยังแหล่งเดิมได้อีกในภายหลัง
3. กำหนดโครงเรื่อง
การกำหนดโครงเรื่อง เป็นการกำหนดขอบข่ายเนื้อหาของรายงานว่าจะให้มีหัวข้อเรื่องอะไรบ้าง  โครงเรื่องที่ดีจะต้องมีสาระสำคัญที่ตอบคำถาม  5W1H ได้ครบถ้วน  กล่าวคือ เนื้อหาของรายงานควรตอบคำถามต่อไปนี้ได้   เช่น     ใครเกี่ยวข้อง (Who)  เป็นเรื่องอะไร (What)  เกิดขึ้นเมื่อไร (When)  ที่ไหน (Where)   ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น--เพราะเหตุใด (Why)   เรื่องนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร หรือมีวิธีทำอย่างไร (How) 
การคิดโครงเรื่องอาจใช้ผังความคิด (Mind map) ช่วยในการกำหนดประเด็นหัวข้อใหญ่หัวข้อรอง   ส่วนการจัดเรียงหัวข้อให้มีความสัมพันธ์เป็นลำดับต่อเนื่องที่ดี อาจใช้ผังความคิดแบบก้างปลา (Fish bone diagram) หรือแบบต้นไม้ (Tree diagram)   จะช่วยให้เห็นความสัมพันธ์ของแนวคิดได้ง่ายขึ้น    การตั้งชื่อหัวข้อควรให้สั้นกระชับได้ใจความครอบคลุมเนื้อหาในตอนนั้น ๆ
4. รวบรวมข้อมูลตามโครงเรื่อง 
เมื่อกำหนดโครงเรื่องแน่ชัดดีแล้ว  จึงลงมือสืบค้นและรวบรวมข้อมูลตามบรรณานุกรมที่รวบรวมไว้ในขั้นตอนการสำรวจ     การรวบรวมอาจจะถ่ายเอกสารจากห้องสมุด หรือพิมพ์หน้าเอกสารที่ค้นได้จากอินเทอร์เน็ต  เสร็จแล้วนำข้อมูลที่รวบรวมได้มาแยกตามหัวข้อเรื่องที่กำหนดไว้
5. อ่านตีความ สังเคราะห์ข้อมูล และจดบันทึก
การอ่านให้เน้นอ่านจับใจความสำคัญของเรื่อง  เพื่อดึงเนื้อหาที่สอดคล้องกับประเด็น แนวคิดต่างๆ ตามโครงเรื่องที่กำหนดไว้   ทำการบันทึกเนื้อหาลงในบัตรบันทึก  เสร็จแล้วนำบัตรบันทึกมาจัดกลุ่มตามประเด็นแนวคิด เพื่อใช้ในการเรียบเรียงเนื้อหาของรายงานต่อไป    หรืออาจทำเครื่องหมายตรงใจความสำคัญ (ขีดเส้นใต้) แทนการทำบัตรบันทึก  (กรณีเป็นหนังสือของห้องสมุดไม่ควรขีดเขียนหรือทำเครื่องหมายใดๆ)
6.เรียบเรียงเนื้อหา
เนื้อหาสาระที่นำมาเรียบเรียงต้องเป็นเนื้อหาที่ได้จากการประเมิน วิเคราะห์ และสังเคราะห์จากขั้นตอนที่ 5 มาแล้ว   (การวิเคราะห์และสังเคราะห์สารสนเทศ   สามารถศึกษาและฝึกปฏิบัติได้ในรายวิชาสารสนเทศและการศึกษาค้นคว้า)

ส่วนประกอบของรายงาน
รายงานประกอบด้วยส่วนสำคัญ 4 ส่วนคือ 1) ส่วนนำเรื่อง ได้แก่ ปกนอก  ปกใน  คำนำ สารบัญ  2) ส่วนเนื้อเรื่อง ประกอบด้วย บทนำ  เนื้อเรื่อง และบทสรุป  3) ส่วนอ้างอิง ประกอบด้วยรายการอ้างอิง บรรณานุกรม  และ  4) ภาคผนวก  ซึ่งแต่ละส่วนควรมีสาระสำคัญดังนี้
1.ปกนอกและปกใน  
ปกนอกใช้กระดาษอ่อนที่หนากว่าปกในซึ่งอาจเลือกสีได้ตามต้องการ  ไม่ควรมีภาพประกอบใด ๆ   ส่วนปกในและเนื้อเรื่องให้ใช้กระดาษขาวขนาด A4 ความหนาไม่ต่ำกว่า 80 แกรม   ปกในพิมพ์ข้อความเช่นเดียวกับปกนอก    ข้อความที่ปกนอกปกในประกอบด้วย  ชื่อเรื่องของรายงาน  ชื่อผู้เขียน  รหัสประจำตัว  ชื่อวิชา   ชื่อสถานศึกษา  และช่วงเวลาที่ทำรายงาน  ดัง ตัวอย่าง


2. คำนำ  
กล่าวถึงความสำคัญ วัตถุประสงค์ ความเป็นมา  ประเด็นหัวข้อเนื้อหาในรายงานเพื่อให้ผู้อ่านเกิดความสนใจอยากติดตามเรื่อง ซึ่งอาจเป็นปัญหา ประโยชน์หรือผลกระทบอย่างไรต่อผู้อ่านและสังคม  อาจกล่าวขอบคุณหรือบอกแหล่งที่มาของข้อมูล เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือในข้อมูลที่นำเสนอ  สุดท้ายระบุชื่อ-สกุล ผู้เขียนรายงานและวันเดือนปีในการทำรายงาน  ดัง ตัวอย่าง


3. สารบัญ
ระบุหัวข้อใหญ่ หัวข้อรอง (ถ้ามี) และเลขหน้า     ใช้จุดไข่ปลาลากโยงจากหัวข้อไปยังเลขหน้าให้ชัดเจน   การพิมพ์สารบัญต้องจัดย่อหน้าและเลขหน้าให้ตรงกัน  ดังตัวอย่าง


4.     เนื้อเรื่อง   
เนื้อเรื่องประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วนคือ  ส่วนนำเรื่อง  ส่วนเนื้อเรื่อง  และส่วนสรุป  ส่วนนำเรื่องหรือบทนำ  ต้องเขียนให้ผู้อ่านเกิดความสนใจอยากที่จะอ่านเนื้อหาต่อไป    บทนำอาจกล่าวถึง ความสำคัญ  บทบาท  ปัญหา  ผลกระทบ  วัตถุประสงค์  ขอบเขตเนื้อหา  หรือประโยชน์ที่ผู้อ่านจะได้รับ เป็นต้น  ซึ่งประเด็นที่กล่าวนี้ไม่จำเป็นต้องมีทั้งหมด แต่อย่างน้อยให้มีประเด็นใดประเด็นหนึ่งดังที่กล่าว  

ตัวอย่างการเขียนบทนำเรื่องแนวคิดการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน
การอ่านเป็นสื่อกลางของการเรียนรู้  ผู้ที่อ่านมากย่อมมีความรู้มาก  เราสามารถแสวงหาความรู้ได้ด้วยการอ่าน  แต่จากผลการศึกษาของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ)  พบว่าความสามารถของผู้เรียนในการแสวงหาความรู้อยู่ในระดับที่ต้องปรับปรุง  การอ่านของนักเรียนไทยตกต่ำลงทุกปี  จึงเป็นปัญหาที่น่าสนใจในการช่วยกันส่งเสริมทักษะการอ่านให้กับนักเรียนไทย  เพื่อให้เกิดความรู้สึกอยากอ่าน  มากกว่าการอ่านเพื่อสอบเก็บคะแนน

ส่วนเนื้อเรื่องเป็นส่วนที่แสดงข้อเท็จจริง  ข้อเสนอแนะ  ความคิดเห็น หรือผลสรุปที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าของผู้เขียน   การนำเสนอเนื้อหาจะต้องมีหลักฐานอ้างอิง มีข้อมูลสถิติ ภาพประกอบ ตาราง แผนที่ แผนภูมิ ตามความจำเป็น  ซึ่งจะทำให้เนื้อเรื่องมีความน่าเชื่อถือและเข้าใจได้ง่าย   (ดูตัวอย่างการอ้างอิงในข้อ 5)
ส่วนสรุป เป็นส่วนชี้ประเด็นสำคัญที่ผู้เขียนต้องการบอกผู้อ่าน  ผู้เขียนอาจสรุปเนื้อหาตามลำดับหัวข้อใหญ่แต่ละหัวข้อทั้งหมดจนจบ  โดยสรุปหัวข้อละ 1 ย่อหน้า   หรือเลือกสรุปเฉพาะประเด็นสำคัญสั้นๆ ก็ได้  ที่สำคัญในการสรุปจะต้องไม่นำเสนอประเด็นเนื้อหาใหม่อีก
5. การอ้างอิง   
การอ้างอิงจะแทรกเป็นวงเล็บไว้ในเนื้อเรื่อง   เพื่อบอกแหล่งที่มาของข้อมูล  เป็นการยื่นยันความถูกต้องและแสดงความน่าเชื่อถือของข้อมูล   การอ้างอิงให้ระบุชื่อผู้แต่ง  ปีพิมพ์  และเลขหน้า   หรือที่เรียกว่าอ้างอิงแบบ  นาม- ปี  ซึ่งมีวิธีการดังนี้
5.1    ระบุไว้หลังข้อความที่อ้าง  
เช่น  สารสนเทศ หมายถึง ข้อเท็จจริง เหตุการณ์ ที่ผ่านกระบวนการ ประมวลผล มีการถ่ายทอด และการบันทึกไว้ในรูปแบบต่างๆ เช่น หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ รายงาน โสตทัศนวัสดุ เทปคอมพิวเตอร์ ตลอดจนการถ่ายทอดในรูปแบบอื่นๆ เช่น คำพูด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ให้ผู้รับสารได้ทราบ   (ประภาวดี  สืบสนธิ์, 2543, หน้า 6)
5.2     ระบุไว้ก่อนข้อความที่อ้าง  
เช่น ชุติมา  สัจจานันท์ (2530, หน้า 17) ให้ความหมายของสารสนเทศไว้ว่า คือ ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ ข้อสนเทศ สารสนเทศ ทั้งในรูปแบบสิ่งพิมพ์ โสตทัศนวัสดุ และวัสดุย่อส่วน เพื่อใช้ประโยชน์ทางการสื่อสารและการพัฒนาด้านต่างๆ ทั้งส่วนบุคคลและสังคม
หลักธรรมาภิบาล มีองค์ประกอบที่สำคัญ 6 ประการดังนี้  (สำนักงาน ก.พ., 2550,  หน้า 15)
1.  หลักนิติธรรม
2. หลักคุณธรรม
3. หลักความโปร่งใส
6. บรรณานุกรม  
หน้าบรรณานุกรมจะอยู่ต่อจากส่วนเนื้อเรื่อง   โดยให้รายละเอียดเกี่ยวกับหนังสือที่นำมาอ้างอิงไว้ในรายงานได้แก่  ชื่อผู้แต่ง ปีพิมพ์  ชื่อบทความ  ชื่อหนังสือ  ครั้งที่พิมพ์  และสถานที่พิมพ์  เป็นต้น


            จุดมุ่งหมายในการเขียนบรรณานุกรม
1.ทำให้รายงานนั้นเป็นรายงานที่มีเหตุผล มีสาระน่าเชื่่อถือ
2.เป็นการเคารพสิทธิและความคิดเห็นของผู้อื่น
3.เป็นเเนวทางสำหรับผู้สนใจต้องการศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม
4.สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงที่นำมาอ้างได้

          วิธีเขียนบรรณานุกรม
1.เขียนไว้ในส่วนท้ายของรายงาน
2.เขียนเรียงลำดับอักษรชื่อผู้เเต่ง ในกรณีที่มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ให้เขียนบรรณานุกรมภาษาไทยก่อน
3.บรรทัดเเรกของบรรณานุกรมชิดด้านซ้ายที่เว้นจากขอบกระดาษเข้ามา 1.5 นิ้ว ถ้ายังไม่จบเมื่อขึ้นบรรทัดใหม่โดยย่อหน้าเข้าประมาณ 7 ตัวอักษรของบรรทัดเเรก
4.รายละเอียดในโครงสร้างรูปเเบบบรรณานุกรมหนังสือ มีดังนี้

1.โครงสร้างรูปเเบบบรรณานุกรมหนังสือ



 1.1. การอ้างถึงชื่อผู้เเต่ง
                                  1.1.1. ผู้เเต่งคนเดียว



1.1.2. ผู้เเต่ง 2 คน ให้ใส่คำว่า "เเละ" เชื่อมระหว่างคนที่ 1 กับคนที่ 2


1.1.3. ผู้เเต่ง 3 คน ให้ใส่เครื่องหมายจุลภาคคั่นระหว่างคนที่ 1 กับคนที่ 2 และใส่คำว่า "เเละ" เชื่อมระหว่างคนที่ 2 กับคนที่ 3 


 1.1.4. ผู้เเต่งตั้งเเต่ 3 คนขึ้นไป  ลงเฉพาะชื่อเเรก เเละตามด้วยคำว่า เเละคนอื่น ๆ


 1.1.5. หนังสือที่ไม่ปรากฏชื่อผู้เเต่ง  ให้ใช้ชื่อเรื่องเป็นรายการเเรกเเทนชื่อผู้เเต่ง


 1.1.6. ผู้เเต่งใช้นามเเฝง ให้ใช้นามเเฝงได้เลย


 1.1.7. หนังสือเเปล  ให้ใส่ชื่อ นามสกุลของผู้เเต่ง ก่อน ผู้เเปล


 1.1.8. ผู้เเต่งมีบรรดาศักดิ์ ให้ใส่ชื่อ นามสกุล ตามด้วยบรรณาศักดิ์











                                                            ขอขอบคุณข้อมูลจาก

                                              ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ธนู  บุญญานุวัต





                                                                                                  







วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2556

หญิงไทยในยุคเปลี่ยนผ่านสู่ปัจจุบัน

สิทธิสตีหญิงยุคใหม่
เสวนาโครงการ "หญิงไทยในยุคเปลี่ยนผ่านสู่ปัจจุบัน"

พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

เสาร์ที่ 24 สิงหาคม 2556 เวลา 12.30-16.30 พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้จัดงานเสวนาโครงการ "หญิงไทยในยุคเปลี่ยนผ่านสู่ปัจจุบัน" โดยมีประธานในการเปิดงานเสวนาในครั้งนี้คือ รศ.ม.ร.ว.พฤทธิสาณ ชุมพล  และ วิทยากร คือ  คุณวิกัลย์ พงศ์พนิตานนท์  หัวหน้าหอจดหมายเหตุศิริราชพยาบาลและคุณพิมพ์ฤทัย ชูแสงศรี  บรรณาธิการบริหารนิตยสารลิซ่า และได้รับฟังดนตรีไทยจาก มหาวิทยาลัยศิลปกร  มาบรรเลง บทเพลงพระราชนิพนธ์ ของ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ก่อนเข้ารับฟังการเสนวนา   ในหัวข้อ "หญิงไทยในยุคเปลี่ยนผ่านสู่ปัจจุบัน"

                                             รศ.ม.ร.ว.พฤทธิสาณ ชุมพล

                 คุณวิกัลย์ พงศ์พนิตานนท์                คุณพิมพ์ฤทัย ชูแสงศรี 

สิทธิสตรีหญิงยุคใหม่..หลังการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง
        บทบาทของสตรีในยุคสมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง ยังไม่ได้ มีการยอมรับจากสังคมมากนัก บทบาทหรือสิทธิต่างๆ จะตกเป็นของผู้ชาย  สตรีมีหน้าที่เพียงแค่ เป็นแม่บ้าน ดูแลบุตร และ สามี เท่านั้น แต่บทบาททางสังคมหรือ หน้าที่การงานจะเป็น   ของ ผู้ชายทั้งหมด  เปรียบเสมือน ผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง    


เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ใน  สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่  5 ทรง ปรับเปลี่ยนประเทศ เพื่อรับมือการเข้ามาของตะวันตก บทบาทของสตรีถูกยกระดับขึ้นมากจากเดิม  ระบบทุนนิยม ทำให้วิถีชีวิตของคนในสังคมเปลี่ยนแปลงไปในทุกๆด้าน  เช่น การแต่งกาย อาหาร วัฒนธรรม การแสดงความคิดเห็น  สิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค และการยอมรับทางสังคม เป็นต้น  สตรีที่เคยถูกมองว่าเป็นเพียงช้างเท้าหลัง กลับมีบทบาทเทียบเท่ากับผู้ชาย ความเป็นผู้นำ ไม่ถูกจำกัดเฉพาะเพียงผู้ชายอีกต่อไป 


ในยุคปัจุบัน แฟชั่นปรับเปลี่ยน ความคิด ค่านิยมของคนในสังคม และเป็นเครื่องกำหนด ฐานะทางสังคมไปโดยปริยาย  เครื่องแต่งกาย เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงการใช้ชีวิตของแต่ละคนที่แตกต่างกันออกไป เทคโนโลยี ต่างๆ ช่วยให้ การดำเนินชีวิตเป็นเรื่องง่าย  สมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง  คำว่าแฟชั่น ไม่มีในความคิดของสตรีเลย การแต่งกาย หรือ การกระทำต่างๆ จะเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด  แต่ในปัจุบัน แฟชั่น การแต่งกาย เป็นเครื่อง เสริมสร้างความมั่นใจ ให้กับสตรี เป็นอย่างมาก 


ปัจุบันผู้หญิงเทียบเท่ากับผู้ชายอีกทั้งยัง ได้รับการยอมรับ ทางสังคมอย่างกว้างขวาง และยังสามารถ พัฒนาศักยภาพในด้านต่างๆ ให้ล้ำหน้ากว่าผู้ชาย  บทบาทจากเดิมที่เคยมองว่า สตรีเป็นเพศที่อ่อนแอ ถูกลบเลือนไป   เพราะเกิดการยอมรับในความเป็นสตรียุคใหม่ ที่แข็งแกร่งต่อสภาวะการเปลี่ยนแปลง  ของสังคมที่ไม่หยุดนิ่ง







                                                                           ขอขอบคุณข้อมูลจาก
                                      พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

















ประวัติศาสตร์จีน 中国历史

ยุคก้าวสู่จีนยุคใหม่-ปฏิรูปสู่การปฏิวัติ


 
                                                          ร้อยวันแห่งการปฏิรูป   

จักรพรรดิกวางซวี่ หรือกวางสู  

ใน 103 วันนับตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน ถึงวันที่ 21 กันยายน 1898 จักรพรรดิกวางซวี่ หรือกวางสู  光绪 (1875-1908) แห่งราชวงศ์ชิงได้มีคำสั่งให้ปฏิรูปเพื่อจุดมุ่งมายก่อความเปลี่ยนแปลงทางสังคม   และสถาบันต่าง ๆ ความพยายามนี้ได้สะท้อนแนวคิดของพวกนักวิชาการหัวก้าวหน้าที่มีความมั่นใจในราชสำนัก  ที่ต้องการสร้างความก้าวหน้าอย่างเร่งด่วน เพื่อความอยู่รอดของประเทศ   แนวคิดนี้ได้รับอิทธิพลจากความสำเร็จของประเทศญี่ปุ่นที่ปรับประเทศสู่ความทันสมัย   ประเทศจีนประกาศการปฏิรูปครั้งนี้เนื่องจากต้องการสร้างประเทศให้ทันสมัยมากว่าการก้าวสู่ความเข้มแข็งเท่านั้นนั่น  คือนวัตกรรมใหม่ ๆ จะต้องมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทางสถาบันและปรัชญาทางการเมือง


                            หลังจากแปดประเทศส่งทหารถล่มปักกิ่งสำเร็จ 

                           ก็จับเอาสมาชิกกบฏนักมวยฆ่าตัดหัวกลางถนน


             คำสั่งสำหรับการปฏิรูปนั้น รวมถึงการปราบปรามการฉ้อราษฏร์บังหลวงปฏิรูปการศึกษา ระบบการสอบข้าราชการ ระบบกฏหมาย โครงสร้างทางรัฐบาล การป้องกันประเทศ การบริการไปรษณีย์   นอกจากน้้้นยังพยายาม ปฏิรูปสู่ความทันสมัยในด้านการเกษตร การแพทย์ อุตสาหกรรมเหมืองแร่ และส่งเสริมการศึกษาแนวปฏิบัติแทนที่แนวทางข่งจื่อแนวใหม่  ราชสำนักยังวางแผนส่งนักศึกษาไปศึกษาในต่างประเทศในเบื้องต้นเพื่อสังเกตและศึกษาทางเทคนิค

                                 (ซ้าย) จักรพรรดิกวางซวี่ 光绪 (ขวา) ซูสีไทเฮา 慈禧太后

                แต่แนวคิดการปฏิรูปก็ถูกคัดค้านโดยกลุ่มอนุรักษ์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกแมนจู  ซึ่งแย้งว่าการประกาศการปฏิรูปนี้มันเร็วเกินไป ควรจะทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป  ซึ่งฝ่ายหลังนี้ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมสุดขั้วอย่างนักฉวยโอกาสหยวนซื่อข่าย袁世凯 (1859-1916)  และพระนางฉือสี่หรือซูสีไทเฮา慈禧 ซึ่งได้วางแผนยึดอำนาจจากจักรพรรดิหัวใจนักปฏิรูปในวันที่    21 กันยายน 1898 และว่าราชการแทน ความล้มเหลวในการปฏิรูปนำไปสู่การประหารชีวิตผู้นำการปฏิรูป   6  ราย ผู้นำสำคัญอีกสองรายหนีไปอยู่ต่างประเทศคือ คังโหย่วเหวย 康有为 (1858-1927) และเหลียงฉี่เชา 梁启超 (1873-1929) ไปก่อตั้งสมาคมป่าวฮ๋วงหรือพิทักษ์ราชา 保皇会 แต่ก็ไม่สามารถรักษาสถาบันไว้ได้  

              พระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระจักรพรรดิกวังซวี่ (องค์ที่สี่จากซ้าย)กับข้าราชการ และ ชาวยุโรป ภายหลังจากกบฏนักมวย ประมาณ พ.ศ. 2444

             หลังจากการปฏิรูปล้มเหลว กลุ่มนักอนุรักษ์ได้ให้การสนับสนุนอย่างลับๆ แก่กลุ่มต่อต้านชาวต่างชาติและพวกคริสต์เตียน   ซึ่งสมาคมลับที่รู้จักรกันดีคือยี่เหอถวน 义和团หรือที่รู้จักรสำหรับชาวตะวันตกว่านักมวยซึ่งมาจากชื่อเดิมว่ายี่เหอฉวน 义和拳 (拳หรือฉวนหมายถึงกำปั้น) ปี 1900 พวกนักมวยปักธงทั่วภาคเหนือของประเทศจีน   เผาทรัพย์สินของชาวคริสต์ ฆ่าคนจีนที่นับถือศาสนาคริสต์ เดือนมิถุนายน 1900 พวกนักมวยเข้าปิดล้อมเขตยึดครองของชาวต่างชาติในกรุงปักกิ่งและเทียนจิง เหตุการณ์นี้ทำให้ชาติต่าง ๆ รวมตัวกัน 8 ชาติ 八国联军 เข้าบดขยี้ ราชสำนักชิงประกาศสงครามต่อผู้รุกรานและถูกตีพ่ายอย่างง่ายดาย รัฐบาลถูกบังคับให้จ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม  ให้ประหารชีวิตข้าราชการชั้นสูง 10 ราย   และคนอื่น ๆ อีกหลายร้อยคน  อนุญาตให้ต่างชาติมีกองกำลังทหารในประเทศจีนได้  ตามข้อตกลงใน The Protocol of 1901


             ทศวรรษต่อมา ราชสำนักทำการปฏิรูปในหลาย ๆ ด้าน เช่นยกเลิกอุตสาหกรรมที่ล้าสมัย ระบบการสอบแบบแนวทางชองข่งจื่อ   ปรับระบบการศึกษา  การทหารซึ่งใช้รูปแบบของประเทศญี่ปุ่น ทดลองระบบรัฐสภาและใช้ธรรมนูญการปกครอง  แต่ก็ทำอย่างเสียมิได้ มรรคผลที่เป็นรูปธรรมจากการทำการปฏิรูปในครั้งนี้คงการจัดตั้งกองทัพสมัยใหม่ ซึ่งเป็นช่องทางก่อให้เกิดระบบขุนศึกขึ้นมา

การปฏิวัติสู่สาธารณะรัฐในปี 1911


ดร.ซุนกับสมาคมถงเหมิง

                 ความล้มเหลวจากการปฏิรูปของผู้กุมอำนาจ ความพ่ายแพ้ของพวกนักมวย  ได้กระตุ้นความคิดของชาวจีนจำนวนมากว่าการเปลี่ยนแปลงที่จะเป็นไปได้คือ การปฏิวัติอย่างถอนรากถอนโคนด้วยการล้มล้างระบบเก่า ให้สิ้นซากและสร้างสรรค์ระบบใหม่ขึ้นมาแทนซึ่งก็ยังคงยึดตามแบบของญี่ปุ่น ผู้นำการปฏิวัติคือซุนยี่เซียน 孙逸仙(1866-1926) นักเคลื่อนไหวต่อต้านราชวงศ์ชิง ได้รับความนิยมเพิ่มขขึ้นอย่างต่อเนื่องในหมู่ชาวจีน - โพ้นทะเล
                        นักศึกษาต่างแดนโดยเฉพาะในญี่ปุ่น ในปี 1905 ซุนได้ก่อตั้งสมาคมถงเหมิง 同盟会 ในโตเกียวร่วมกับฮ๋วงซิง 黄兴(1874-1916) นักเคลื่อนไหวปฏิวัติชาวจีนที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในญี่ปุ่น  มารับหน้าที่เป็นรองหัวหน้า การเคลื่อนไหวได้รับเงินสนับสนุนจากชาวจีนโพ้นทะเลและด้านการทหารได้รับการสนับสนุนจากเจ้าหน้าที่ทางทหารภูมิภาค  และนักปฏิรูปบางคนที่หนีออกจากประเทศจีนหลังจากล้มเหลวจากการปฏิรูปร้อยวัน  ปรัชญาการปฏิวัติของซุนคือลัทธิไตรราษฏร์ 三民主义 คือประชาชาติ ประชาธิปไตยและประชาชน

(ซ้าย)  จักรพรรดิผู่หยี  (ขวา) หยวนซื่อข่าย

              การปฏิวัติของซุนเริ่มขึ้นที่หวู่ชาง 武昌 มณฑลหูเป่ย湖北 ในวันที่ 10 ตุลาคม 1911 การก่อการขยายตัวอย่างรวดเร็วสู่เมืองต่าง ๆ สมาชิกของสมาคมถงเหมิงลุกขึ้นมาก่อการพร้อมกันทั่วประเทศ ในตอนปลายเดือนพฤศจิกายน 15 จังหวัดจากทั้งหมด 24 จังหวัดได้ประกาศอิสระภาพจากราชวงศ์ชิง หนึ่งเดือนต่อมา ซุนเดินทางกลับจากอเมริกาซึ่งได้ไปรับบริิจาคจากชาวจีนโพ้นทะเล  และชาวอเมริกันที่เห็นใจการทำงานของซุน วันที่ 1 มกราคม 1912 ซุนจัดตั้งรัฐบาล  และเข้ารับเป็นประธานาธิบดีชั่วคราวที่หนานจิง 南京  แต่อำนาจในปักกิ่งยังคงอยู่ในมือของหยวนซื่อข่าย 袁世凯ขุนศึกที่เข้มแข็งที่่สุด   ณ เวลานั้น เพื่อป้องกันการเกิดสงครามกลางเมือง และการแทรกแซงจากต่างประเทศ   ซุนจึงยอมทำตามข้อเรียกร้องของหยวน ที่จะรวมประเทศจีนภายใต้การนำของหยวนในกรุงปักกิ่ง ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 1912 จักรพรรดิ์องค์สุดท้ายของแมนจผู่หยี 溥儀 ได้สละราชบัลลังก์  ในวันที่ 10 มีนาคม หยวนซื่อข่ายได้สาบาญเข้ารับเป็นประธานาธิบดีของสาธารณะรัฐจีน








ขอขอบคุณข้อมูลจาก 
สารานุกรมเสรี
http://www.thaichinese.net/History/history-modern4.html